HealthFoodShop Blog
คลิกที่รูปภาพ เพื่อสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ | สั่งซื้อผ่าน LINE : @healthfoodshop (มี @ นำหน้า) | โทร : 097 334 1718
16 เมษายน 2561
8 พฤศจิกายน 2560
ผิดอย่างมหันต์...ถ้าคิดพึ่งลูก
ที่ไต้หวัน มีแม่หม้ายอยู่คนหนึ่ง ชั่วชีวิตยึดอาชีพครู เลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่ ลูกคนนี้เมื่อยังเล็กเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แม่เลี้ยงดูสั่งสอนจนเป็นหนุ่ม หลังจากนั้นก็ส่งลูกชายศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อลูกชายจบการศึกษาที่อเมริกาได้การงานที่ดีมีเงินซื้อบ้าน แล้วก็แต่งงานจนมีบุตร 1 คน มีความเป็นอยู่ที่สบาย เป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุด
ส่วนผู้เป็นแม่อยู่ที่ไต้หวันคนเดียวโดดเดี่ยว ก็ได้ตรึกตรองกับตนเองว่า เมื่อหลังเกษียณถ้าได้ไปอยู่กับลูกชายที่อเมริกาชีวิตบั้นปลายคงจะมีความสุขไม่น้อย คิดแล้วก่อนจะเกษียณ 3 เดือนก็ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงลูกชายที่อเมริกา ได้เล่าความในใจที่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกที่อเมริกา เพื่อน ๆ รู้คงจะอิจฉา คิดแล้ว...ในใจก็มีแต่ความสุข
ขณะเดียวกันก็ได้จัดการทรัพย์สินการงานที่ไต้หวัน เพื่อจะได้ไปอยู่อเมริกากับลูกชาย ก่อนจะเกษียณไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากลูกชายที่อเมริกา เมื่อเปิดซองจดหมายออก สิ่งแรกที่ได้เห็นคือตั๋วเงิน 30,000 เหรียญ ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกแปลกใจที่ลูกชายส่งตั๋วเงินมาให้ เพราะตั้งแต่ลูกชายอยู่อเมริกาไม่เคยสักครั้งที่จะส่งเงินมาให้แม่...แม้แต่เหรียญเดียว ด้วยความสงสัยก็รีบเปิดจดหมายออกอ่าน หัวใจแทบสลายไม่คิดว่าจะได้รับข้อความที่บาดใจจากลูกชาย
ความหวังทั้งหมดได้ล่มสลายเพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของลูกชายที่ว่า :
"แม่ครับ ผมและภรรยาได้ปรึกษากันแล้วว่า ถ้าแม่จะมาอยู่อเมริกากับผมและครอบครัวคงจะไม่เหมาะ เพราะเราไม่ชอบให้มีคนอื่นมาอยู่ด้วย ที่พูดมานี้ แม่คงว่าผมอกตัญญูไม่รู้บุญคุณแม่ แต่ผมก็ได้คำนวณแล้วว่า ที่แม่ได้เลี้ยงดูผมมาคงเสียเงินเสียทองไปไม่น้อย แต่คงไม่เกิน 30,000 เหรียญ ซึ่งผมได้เติมให้ครบแล้ว จากนี้แม่ก็ไม่ต้องเขียนจดหมายมาต่อความยาวให้ยืดเยื้ออีก"เมื่อแม่ได้อ่านจดหมายของลูกจบลง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาดังสายฝน แล้วรำพึงรำพันกับตัวเองว่า เราคงต้องอยู่เป็นหม้าย อยู่อย่างอ้างว้างเดียวดายจนแก่เฒ่า เธอรู้สึกเจ็บปวดไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจไปศึกษาธรรมะ หลังจากศึกษาธรรมะได้สักระยะ ก็เข้าถึงแก่นแท้ของจิตใจคน ได้มองเห็นแสงสว่างข้างหน้า เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น จึงนำเงิน 30,000 เหรียญที่ลูกชายให้ไปท่องเที่ยวทั่วโลก ระหว่างท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ที่สวยงามและพบกับผู้คนมากมาย เมื่อกลับจากการท่องเที่ยว จึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงลูกชายที่อเมริกา
ในจดหมายมีข้อความว่า :
"ลูกรัก ลูกบอกไม่ให้แม่เขียนจดหมายถึงลูกอีก แต่จดหมายฉบับนี้แม่คิดว่าเป็นจดหมายที่แม่เคยเขียนให้ลูกแต่ก่อน เมื่อแม่ได้รับตั๋วเงินจากลูกแล้วก็ได้นำเงินทั้งหมดไปท่องเที่ยวทั่วโลก ขณะนั้นแม่รู้สึกว่าควรจะขอบใจลูกที่ทำให้แม่เข้าใจ หูตาสว่าง รู้จักปล่อยวาง มองเห็นทาสแท้ของคน รากฐานของจิตใจ มิตรภาพและความรักของคนเป็นสิ่งเลื่อนลอยเอาแน่นอนไม่ได้ ทุกสิ่งในโลกนี้ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถ้าแม่มองไม่เห็นทางสว่างในใจมีแต่ความเคียดแค้น เกลียดชัง เจ็บปวด คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้แน่ หรือถ้าแม่คิดไม่ตก คงฆ่าตัวตายตั้งแต่วันแรกที่ได้รับจดหมายจากลูก และคงจะตายเป็นผีอย่างไม่เป็นธรรม
การที่ลูกตัดเยื่อใยความเป็นลูกกับแม่ ทำให้แม่ได้เห็นแก่นแท้ของมนุษย์ ที่ยังขาดความสมบูรณ์ของคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ยังทำให้แม่ได้เรียนรู้ถึงความสงบของจิตใจ แม่ไม่วิตกกังวลที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะแม่ไม่มีลูกอีกแล้ว เพราะฉะนั้น แม่จึงมีชีวิตอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข"จ้าวฝู่ชู ได้กล่าวไว้ว่า :
"บ้านของพ่อแม่คือ...บ้านของลูก ๆ
แต่บ้านของลูก...ไม่ใช่บ้านของพ่อแม่
การให้กำเนิดลูก...เป็นหน้าที่
การเลี้ยงลูก...เป็นความผูกพัน
ผิดอย่างมหันต์...ถ้าคิดพึ่งลูก"
ที่มา : Foward Line
ภาพประกอบ : www.azmega.com
2 เมษายน 2560
หนุ่มอังกฤษตกรอบรายการทีวีหาคู่
หนุ่มอังกฤษคนหนึ่งไปออกรายการทีวีหาคู่ (blind date) ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เห็นหน้าตาซึ่งกันและกัน โดยหญิง 4 คน จะป้อนคำถามคนละหนึ่งคำถาม
ญ. 1 ถาม "เป็นลูกคนเดียวหรือเปล่า?"
ช. ตอบ "มีพี่ชายอีกคน เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน"
(ไฟบอกคะแนนเริ่มตก)
ญ. 2 ถาม "มีบ้านหรือเปล่า แต่งงานแล้วอยู่กับใคร?"
ช. ตอบ "บ้านเก่าอายุ 100 กว่าปี อยู่กับคุณย่า พ่อ แม่เลี้ยง พี่ชาย และพี่สะใภ้"
(ไฟบอกคะแนนดับเพิ่ม)
ญ. 3 ถาม "ทำงานอะไร?"
ช. ตอบ "ทหาร"
(ไฟบอกคะแนนดับเพิ่มเหลือแค่ 1)
ญ. 4 ถาม "งานแต่ง มี Benz หรือ BMW เป็นรถเจ้าสาวหรือเปล่า?"
ช. ตอบ "คุณย่าคงไม่ยอม เรามักจะใช้รถม้ากัน"
ญ. 4 ฮึ! ฉันยอมร้องไห้ในรถเบ็นซ์ แต่ก็ไม่อยากนั่งยิ้มในรถม้า"
(ไฟบอกคะแนนดับหมดทุกดวง)
หนุ่มอังกฤษน้ำตาร่วงเดินออกจากรายการไป??....
วันรุ่งขึ้น นสพ.อังกฤษพาดหัวข่าว "เจ้าชายแฮรี่ของเรา ออกรายการทีวีหาคู่ ตกรอบแรก"
.............................
ที่มา : foward Line
ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต
วิธีบอกผู้โดยสารเครื่องบินชาติต่างๆ เมื่อต้องลงเรือกู้ชีพในยามฉุกเฉิน
เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งต้องลงฉุกเฉิน และลอยลำอยู่บนทะเล
สจ๊วตพยายามให้ผู้โดยสารลงเรือกู้ชีพ แต่ผู้โดยสารกลัวทะเล ไม่มีใครยอมลง
สจ๊วตจึงไปขอคำแนะนำจากกัปตันสูงอายุผู้มีประสบการณ์ กัปตันแนะสจ๊วตว่า
"บอกผู้โดยสารชาวอเมริกันว่า การลงเรือเป็นการผจญภัย
บอกผู้โดยสารชาวอังกฤษว่า มันเป็นเกียรติยศ
บอกชาวฝรั่งเศสว่า มันโรแมนติก
บอกพวกเยอรมันว่า มันเป็นกฎหมาย
บอกคนญี่ปุ่นว่า นี่เป็นคำสั่ง
รับรองทุกคนจะลงเรือหมด" กัปตันสรุป
"แล้วผมจะบอกผู้โดยสารคนจีนว่าไงดีครับ" สจ๊วตถาม
กัปตันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
"บอกคนจีนว่า ฟรี!! ลงเรือน่ะ Free!!"
"แล้วผู้โดยสารชาวสิงคโปร์ 4-5 คนหละครับ"
"อ๋อ พวกลูกหลานลีกวนยู ไม่ต้องห่วง ตรงไหนมีแถวเข้าคิว พวกเขาก็จะอยู่ตรงนั้น"
ก่อนผละออกไป กัปตันนึกขึ้นได้เลยถามสจ๊วตว่า
"เอ๊ะ! ผมเห็นมีผู้โดยสารคนไทย 5-6 คนนะ"
สจ๊วตตอบว่า
"อ๋อ... หายห่วงได้เลยครับ ผู้โดยสารไทยแซงคิวชาวบ้านลงเรือไปหมดแล้วครับ!!"
..................................
ที่มา : foward Line
ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต
29 มีนาคม 2560
ประโยชน์ของ "เบกกิ้งโซดา"
ทำความสะอาดเครื่องครัว
ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ จุ่มเบกกิ้งโซดาเช็ดถูเครื่องครัวที่ทำด้วยฟอร์ไมก้า แสตนเลส โครเมี่ยม การใช้เบกกิ้งโซดาจะไม่ทำให้เกิดรอยขูดขีด และทำให้เครื่องครัวเหล่านี้สะอาด
ลบรอยภาชนะที่เปื้อนอาหารไหม้
เบกกิ้งโซดาสามารถลบรอยเปื้อนอาหารไหม้ที่ติดภาชนะได้โดยไม่มีพิษภัย โดยใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำอุ่น 1/2 ถ้วย แล้วถูตรงรอยที่ไหม้ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงขัดรอยสกปรกออกด้วยฟองน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด รอยไหม้ก็จะหมดไป
ล้างผัก
ใช้ล้างยาฆ่าแมลงที่ติดอยู่กับผักและผลไม้ โดยแช่ผักหรือผลไม้ในน้ำที่ผสมเบกกิ้งโซดา โดยใช้อัตราส่วน เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ 4 ถ้วย แช่ไว้สักครู่ แล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาดอีกครั้ง ผักและผลไม้จะสะอาด รับประทานด้วยความมั่นใจ (ละลายเบกกิ้งโซดาด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน แล้วปล่อยให้เย็นจึงล้าง)
ดูดกลิ่นในตู้เย็น
ตู้เย็นจะมีกลิ่นอาหารต่าง ๆ มากมาย ซึ่งในบางครั้งเมื่อแช่ขนมไว้ก็จะมีกลิ่นอาหารชนิดอื่นติด ทำให้ขนมมีกลิ่นเปลี่ยนไป ไม่น่ารับประทาน ดังนั้นวิธีง่าย ๆ ในการกำจัดกลิ่นในตู้เย็น โดยใส่เบกกิ้งโซดาลงในภาชนะแล้ววางไว้ในตู้เย็น เบกกิ้งโซดาจะดูดกลิ่นเหม็นในตู้เย็นได้ หรือเมื่อใช้แล้วผสมกับน้ำเทลงในท่อระบายน้ำหรือท่อน้ำทิ้งในห้องน้ำ จะช่วยดับกลิ่นได้ดี เพราะในบางครั้งท่อระบายน้ำในห้องน้ำจะส่งกลิ่นเหม็นขึ้นมา โดยใช้ยาดับกลิ่นก็ไม่หาย เบกกิ้งโซดาช่วยได้
แทนน้ำยาบ้วนปาก
เบกกิ้งโซดาผสมน้ำใช้บ้วนปากได้ โดยใช้อัตราส่วน เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย ใช้แทนน้ำยาบ้วนปาก จะช่วยระงับกลิ่นปากได้
ล้างอ่างกระเบื้องขัดให้ขึ้นเงา
อ่างล้างหน้าที่เป็นกระเบื้องขัด ถ้าล้างแล้วไม่ขึ้นเงาให้ล้างโดยโรยเบกกิ้งโซดาลงไปให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงขัดออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด อ่างล้างหน้าจะขาวสะอาดเป็นเงา
ขจัดคราบไขมัน
บนเตาแก๊สและชั้นรองเตาอบ เมื่อใช้ไปนาน ๆ มักจะมีคราบไขมันติดอยู่ วิธีขจัดคราบไขมันออกโดยง่ายคือ โรยเบกกิ้งโซดาบนคราบไขมัน แล้วเทน้ำส้มสายชูราดทับลงไป ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงขัด คราบไขมันก็จะหลุดออก
กำจัดคราบบนถ้วยชา กาแฟ
ถ้วยชา กาแฟ โดยเฉพาะถ้วยที่เป็นพลาสติก เมื่อใช้นาน ๆ มักจะมีคราบเกาะ โดยเฉพาะถ้วยชา กาแฟที่ใช้แล้วไม่ล้างทันที วิธีล้างให้สะอาด คือล้างด้วยน้ำผสมเบกกิ้งโซดา จะช่วยให้ล้างออกได้ง่าย แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ถ้วยชา กาแฟก็จะสะอาด
ป้องกันไม่ให้ราขึ้นขอบยางตู้เย็น
เวลาซื้อตู้เย็นมาใหม่ ควรใช้ผ้าชุบน้ำให้เปียกนำมาชุบเบกกิ้งโซดาเช็ดตามขอบยางให้ทั่ว ปล่อยให้แห้ง เมื่อใช้นาน ๆ ไป ขอบยางก็จะไม่ขึ้นรา แต่ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่าขอบตู้เย็นมีราขึ้น สามารถขจัดราได้โดยใช้ผ้านุ่มชุบน้ำให้เปียก แล้วชุบเบกกิ้งโซดาเช็ด
ทำให้อาหารขึ้นฟู
เบกกิ้งโซดาช่วยทำให้อาหารขึ้นฟู เช่น การทำเค้ก คุ๊กกี้ ซึ่งต้องอาศัยเบกกิ้งโซดาขนมจึงจะขึ้น ขนมบางอย่าง เช่น เค้กกล้วยหอม ถ้าต้องการให้ขึ้นฟูนุ่มจะใช้เบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดามีฤทธิ์เป็นด่าง ส่วนผสมของอาหารจะต้องมีฤทธิ์เป็นกรด เค้กกล้วยหอมจึงใส่นมเปรี้ยวเป็นส่วนผสม นมเปรี้ยวมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อรวมกันทำให้เกิดความเป็นกลาง จึงไม่เกิดรสเฝื่อน ถ้าใส่เบกกิ้งโซดามากเกินไป จะทำให้ขนมนั้นมีรสเฝื่อน มีรสขมที่ปลายลิ้น
ที่มา : หนังสือ "ในบ้านในเรือน" โดย อาจารย์ศรีสมร คงพันธุ์
ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต
13 มีนาคม 2560
ทึ่ง แพทย์เชียงใหม่-รามใช้ ‘ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’ ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2558 ที่คลินิคโรคทางสมองและประสาท ห้อง 4 ชั้น 4 โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ หรือ หมอเบิร์ด ประสาทและศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง
“สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา 2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ 3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้”
นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด
“คนไข้รายนี้กลัวการผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย”
นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น
“ผมก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ”
นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผลกี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่คลินิคโรคหลอดเลือดทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
อาการคือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา
“ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบเช่นกัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อ โดยไม่หวังผลด้านธุรกิจ”
สำนักข่าวเห็ดลม รายงาน
ที่มา & ภาพประกอบ : www.hedlomnews.com
26 กุมภาพันธ์ 2560
สารพิษในร่างกายเกิดขึ้นได้อย่างไร?
"สารพิษ" ในร่างกายแบ่งตามแหล่งกำเนิดได้ 2 ชนิด ได้แก่ สารพิษจากภายนอก และ สารพิษในร่างกาย
สารพิษจากภายนอกมีหลายชนิด เข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ การสัมผัส ฯลฯ
ในขณะที่สารพิษในร่างกายเป็นของเสียที่เกิดจากระบวนการเผาผลาญอาหาร เช่น โปรตีน เมื่อสลายตัวเกิดกรดยูริกและยูเรีย กลูโคสสลายตัวเกิดกรดแล็กติก
หากร่างกายไม่สามารถขจัดออกได้หมดตามช่องทางปกติ ก็จะเกิดการ "สะสม" สารพิษขึ้น
สารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกายเป็นสาเหตุสำคัญของ โรคหลอดเลือดหัวใจ
กรดยูริกเป็นของเสียจากการย่อยสลายโปรตีน
ลิ่มเลือดเป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้น
คอเลสเตอรอลเลว (LDL Cholesterol) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว
ของเสียในร่างกายจะสะสมอยู่ในกระแสเลือด ทำให้ เลือดข้น ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หากรุนแรงอาจถึงขั้นทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
โรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ 10 อันดับแรก มีมากกว่า 3 โรคที่เกิดจากความผิดปกติของ ระบบไหลเวียนเลือด
จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยไต้หวันพบว่า เซลล์ในร่างกายที่ตายแล้วหาก "คืนชีพ" อาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
เซลล์ตายมีทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์เม็ดเลือดแดง ฯลฯ ซากของเซลล์เนื้อเยื่อหลังจากต่อสู้กับเชื้อไวร้สก็เป็นเซลล์ตายเช่นกัน
หากร่างกายไม่สามารถขจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปได้หมด ก็จะสะสมไว้ นานเข้าก็จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือเกิดอาการแพ้ อักเสบ
และเซลล์ตายอาจฟื้นขึ้นมาส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย ในระยะยาวก็จะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือกลายเป็นมะเร็ง
ที่มา : หนังสือ "ดีท็อกซ์ถูกวิธี ชีวิตปลอดสาร" โดย อาจารย์หวังหมิงหย่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอาหารเกษตรอินทรีย์
ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)