8 พฤศจิกายน 2560

ผิดอย่างมหันต์...ถ้าคิดพึ่งลูก


ที่ไต้หวัน  มีแม่หม้ายอยู่คนหนึ่ง  ชั่วชีวิตยึดอาชีพครู  เลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่  ลูกคนนี้เมื่อยังเล็กเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย  แม่เลี้ยงดูสั่งสอนจนเป็นหนุ่ม  หลังจากนั้นก็ส่งลูกชายศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา  เมื่อลูกชายจบการศึกษาที่อเมริกาได้การงานที่ดีมีเงินซื้อบ้าน  แล้วก็แต่งงานจนมีบุตร 1 คน  มีความเป็นอยู่ที่สบาย  เป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุด

ส่วนผู้เป็นแม่อยู่ที่ไต้หวันคนเดียวโดดเดี่ยว  ก็ได้ตรึกตรองกับตนเองว่า  เมื่อหลังเกษียณถ้าได้ไปอยู่กับลูกชายที่อเมริกาชีวิตบั้นปลายคงจะมีความสุขไม่น้อย  คิดแล้วก่อนจะเกษียณ 3 เดือนก็ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงลูกชายที่อเมริกา  ได้เล่าความในใจที่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกที่อเมริกา  เพื่อน ๆ รู้คงจะอิจฉา  คิดแล้ว...ในใจก็มีแต่ความสุข

ขณะเดียวกันก็ได้จัดการทรัพย์สินการงานที่ไต้หวัน  เพื่อจะได้ไปอยู่อเมริกากับลูกชาย  ก่อนจะเกษียณไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากลูกชายที่อเมริกา  เมื่อเปิดซองจดหมายออก  สิ่งแรกที่ได้เห็นคือตั๋วเงิน 30,000 เหรียญ  ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกแปลกใจที่ลูกชายส่งตั๋วเงินมาให้  เพราะตั้งแต่ลูกชายอยู่อเมริกาไม่เคยสักครั้งที่จะส่งเงินมาให้แม่...แม้แต่เหรียญเดียว  ด้วยความสงสัยก็รีบเปิดจดหมายออกอ่าน  หัวใจแทบสลายไม่คิดว่าจะได้รับข้อความที่บาดใจจากลูกชาย

ความหวังทั้งหมดได้ล่มสลายเพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของลูกชายที่ว่า :

"แม่ครับ  ผมและภรรยาได้ปรึกษากันแล้วว่า  ถ้าแม่จะมาอยู่อเมริกากับผมและครอบครัวคงจะไม่เหมาะ  เพราะเราไม่ชอบให้มีคนอื่นมาอยู่ด้วย  ที่พูดมานี้  แม่คงว่าผมอกตัญญูไม่รู้บุญคุณแม่  แต่ผมก็ได้คำนวณแล้วว่า  ที่แม่ได้เลี้ยงดูผมมาคงเสียเงินเสียทองไปไม่น้อย  แต่คงไม่เกิน 30,000 เหรียญ  ซึ่งผมได้เติมให้ครบแล้ว  จากนี้แม่ก็ไม่ต้องเขียนจดหมายมาต่อความยาวให้ยืดเยื้ออีก"
เมื่อแม่ได้อ่านจดหมายของลูกจบลง  ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาดังสายฝน  แล้วรำพึงรำพันกับตัวเองว่า  เราคงต้องอยู่เป็นหม้าย  อยู่อย่างอ้างว้างเดียวดายจนแก่เฒ่า  เธอรู้สึกเจ็บปวดไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจไปศึกษาธรรมะ  หลังจากศึกษาธรรมะได้สักระยะ  ก็เข้าถึงแก่นแท้ของจิตใจคน  ได้มองเห็นแสงสว่างข้างหน้า  เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น  จึงนำเงิน 30,000 เหรียญที่ลูกชายให้ไปท่องเที่ยวทั่วโลก  ระหว่างท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ที่สวยงามและพบกับผู้คนมากมาย  เมื่อกลับจากการท่องเที่ยว  จึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงลูกชายที่อเมริกา

ในจดหมายมีข้อความว่า :

"ลูกรัก  ลูกบอกไม่ให้แม่เขียนจดหมายถึงลูกอีก  แต่จดหมายฉบับนี้แม่คิดว่าเป็นจดหมายที่แม่เคยเขียนให้ลูกแต่ก่อน  เมื่อแม่ได้รับตั๋วเงินจากลูกแล้วก็ได้นำเงินทั้งหมดไปท่องเที่ยวทั่วโลก  ขณะนั้นแม่รู้สึกว่าควรจะขอบใจลูกที่ทำให้แม่เข้าใจ  หูตาสว่าง  รู้จักปล่อยวาง  มองเห็นทาสแท้ของคน  รากฐานของจิตใจ  มิตรภาพและความรักของคนเป็นสิ่งเลื่อนลอยเอาแน่นอนไม่ได้  ทุกสิ่งในโลกนี้ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ถ้าแม่มองไม่เห็นทางสว่างในใจมีแต่ความเคียดแค้น เกลียดชัง เจ็บปวด  คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้แน่  หรือถ้าแม่คิดไม่ตก  คงฆ่าตัวตายตั้งแต่วันแรกที่ได้รับจดหมายจากลูก  และคงจะตายเป็นผีอย่างไม่เป็นธรรม
การที่ลูกตัดเยื่อใยความเป็นลูกกับแม่  ทำให้แม่ได้เห็นแก่นแท้ของมนุษย์  ที่ยังขาดความสมบูรณ์ของคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม  ยังทำให้แม่ได้เรียนรู้ถึงความสงบของจิตใจ  แม่ไม่วิตกกังวลที่ต้องอยู่คนเดียว  เพราะแม่ไม่มีลูกอีกแล้ว  เพราะฉะนั้น  แม่จึงมีชีวิตอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข"
จ้าวฝู่ชู  ได้กล่าวไว้ว่า :
"บ้านของพ่อแม่คือ...บ้านของลูก ๆ
แต่บ้านของลูก...ไม่ใช่บ้านของพ่อแม่
การให้กำเนิดลูก...เป็นหน้าที่
การเลี้ยงลูก...เป็นความผูกพัน
ผิดอย่างมหันต์...ถ้าคิดพึ่งลูก"
  

ที่มา : Foward Line

ภาพประกอบ : www.azmega.com

2 เมษายน 2560

หนุ่มอังกฤษตกรอบรายการทีวีหาคู่



หนุ่มอังกฤษคนหนึ่งไปออกรายการทีวีหาคู่ (blind date) ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เห็นหน้าตาซึ่งกันและกัน  โดยหญิง 4 คน จะป้อนคำถามคนละหนึ่งคำถาม

ญ. 1 ถาม  "เป็นลูกคนเดียวหรือเปล่า?"

ช. ตอบ "มีพี่ชายอีกคน เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน"
(ไฟบอกคะแนนเริ่มตก)

ญ. 2 ถาม "มีบ้านหรือเปล่า แต่งงานแล้วอยู่กับใคร?"

ช. ตอบ "บ้านเก่าอายุ 100 กว่าปี อยู่กับคุณย่า พ่อ แม่เลี้ยง พี่ชาย และพี่สะใภ้"
(ไฟบอกคะแนนดับเพิ่ม)

ญ. 3 ถาม "ทำงานอะไร?"

ช. ตอบ "ทหาร"
(ไฟบอกคะแนนดับเพิ่มเหลือแค่ 1)

ญ. 4 ถาม "งานแต่ง มี Benz หรือ BMW เป็นรถเจ้าสาวหรือเปล่า?"

ช. ตอบ "คุณย่าคงไม่ยอม เรามักจะใช้รถม้ากัน"

ญ. 4 ฮึ! ฉันยอมร้องไห้ในรถเบ็นซ์ แต่ก็ไม่อยากนั่งยิ้มในรถม้า"
(ไฟบอกคะแนนดับหมดทุกดวง)

หนุ่มอังกฤษน้ำตาร่วงเดินออกจากรายการไป??....
วันรุ่งขึ้น นสพ.อังกฤษพาดหัวข่าว "เจ้าชายแฮรี่ของเรา ออกรายการทีวีหาคู่ ตกรอบแรก"

.............................

ที่มา : foward Line

ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต

วิธีบอกผู้โดยสารเครื่องบินชาติต่างๆ เมื่อต้องลงเรือกู้ชีพในยามฉุกเฉิน




เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งต้องลงฉุกเฉิน และลอยลำอยู่บนทะเล
สจ๊วตพยายามให้ผู้โดยสารลงเรือกู้ชีพ แต่ผู้โดยสารกลัวทะเล ไม่มีใครยอมลง
สจ๊วตจึงไปขอคำแนะนำจากกัปตันสูงอายุผู้มีประสบการณ์ กัปตันแนะสจ๊วตว่า

"บอกผู้โดยสารชาวอเมริกันว่า การลงเรือเป็นการผจญภัย

บอกผู้โดยสารชาวอังกฤษว่า มันเป็นเกียรติยศ

บอกชาวฝรั่งเศสว่า มันโรแมนติก

บอกพวกเยอรมันว่า มันเป็นกฎหมาย

บอกคนญี่ปุ่นว่า นี่เป็นคำสั่ง

รับรองทุกคนจะลงเรือหมด" กัปตันสรุป

"แล้วผมจะบอกผู้โดยสารคนจีนว่าไงดีครับ" สจ๊วตถาม

กัปตันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

"บอกคนจีนว่า ฟรี!! ลงเรือน่ะ Free!!"

"แล้วผู้โดยสารชาวสิงคโปร์ 4-5 คนหละครับ"

"อ๋อ พวกลูกหลานลีกวนยู ไม่ต้องห่วง ตรงไหนมีแถวเข้าคิว พวกเขาก็จะอยู่ตรงนั้น"

ก่อนผละออกไป กัปตันนึกขึ้นได้เลยถามสจ๊วตว่า
"เอ๊ะ! ผมเห็นมีผู้โดยสารคนไทย 5-6 คนนะ"

สจ๊วตตอบว่า
"อ๋อ... หายห่วงได้เลยครับ ผู้โดยสารไทยแซงคิวชาวบ้านลงเรือไปหมดแล้วครับ!!"

..................................

ที่มา : foward Line

ภาพประกอบ :  จากอินเทอร์เน็ต

29 มีนาคม 2560

ประโยชน์ของ "เบกกิ้งโซดา"



ทำความสะอาดเครื่องครัว

ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ จุ่มเบกกิ้งโซดาเช็ดถูเครื่องครัวที่ทำด้วยฟอร์ไมก้า  แสตนเลส  โครเมี่ยม  การใช้เบกกิ้งโซดาจะไม่ทำให้เกิดรอยขูดขีด  และทำให้เครื่องครัวเหล่านี้สะอาด

ลบรอยภาชนะที่เปื้อนอาหารไหม้



เบกกิ้งโซดาสามารถลบรอยเปื้อนอาหารไหม้ที่ติดภาชนะได้โดยไม่มีพิษภัย  โดยใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำอุ่น 1/2 ถ้วย  แล้วถูตรงรอยที่ไหม้  ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที  จึงขัดรอยสกปรกออกด้วยฟองน้ำ  แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด รอยไหม้ก็จะหมดไป

ล้างผัก

ใช้ล้างยาฆ่าแมลงที่ติดอยู่กับผักและผลไม้  โดยแช่ผักหรือผลไม้ในน้ำที่ผสมเบกกิ้งโซดา  โดยใช้อัตราส่วน เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ 4 ถ้วย แช่ไว้สักครู่  แล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาดอีกครั้ง  ผักและผลไม้จะสะอาด  รับประทานด้วยความมั่นใจ (ละลายเบกกิ้งโซดาด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน แล้วปล่อยให้เย็นจึงล้าง)

ดูดกลิ่นในตู้เย็น

ตู้เย็นจะมีกลิ่นอาหารต่าง ๆ มากมาย  ซึ่งในบางครั้งเมื่อแช่ขนมไว้ก็จะมีกลิ่นอาหารชนิดอื่นติด  ทำให้ขนมมีกลิ่นเปลี่ยนไป  ไม่น่ารับประทาน  ดังนั้นวิธีง่าย ๆ ในการกำจัดกลิ่นในตู้เย็น  โดยใส่เบกกิ้งโซดาลงในภาชนะแล้ววางไว้ในตู้เย็น  เบกกิ้งโซดาจะดูดกลิ่นเหม็นในตู้เย็นได้  หรือเมื่อใช้แล้วผสมกับน้ำเทลงในท่อระบายน้ำหรือท่อน้ำทิ้งในห้องน้ำ  จะช่วยดับกลิ่นได้ดี  เพราะในบางครั้งท่อระบายน้ำในห้องน้ำจะส่งกลิ่นเหม็นขึ้นมา  โดยใช้ยาดับกลิ่นก็ไม่หาย  เบกกิ้งโซดาช่วยได้

แทนน้ำยาบ้วนปาก




เบกกิ้งโซดาผสมน้ำใช้บ้วนปากได้  โดยใช้อัตราส่วน  เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย  ใช้แทนน้ำยาบ้วนปาก  จะช่วยระงับกลิ่นปากได้

ล้างอ่างกระเบื้องขัดให้ขึ้นเงา




อ่างล้างหน้าที่เป็นกระเบื้องขัด  ถ้าล้างแล้วไม่ขึ้นเงาให้ล้างโดยโรยเบกกิ้งโซดาลงไปให้ทั่ว  ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงขัดออก  แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด  อ่างล้างหน้าจะขาวสะอาดเป็นเงา

ขจัดคราบไขมัน




บนเตาแก๊สและชั้นรองเตาอบ  เมื่อใช้ไปนาน ๆ มักจะมีคราบไขมันติดอยู่  วิธีขจัดคราบไขมันออกโดยง่ายคือ  โรยเบกกิ้งโซดาบนคราบไขมัน  แล้วเทน้ำส้มสายชูราดทับลงไป  ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงขัด  คราบไขมันก็จะหลุดออก

กำจัดคราบบนถ้วยชา กาแฟ




ถ้วยชา กาแฟ  โดยเฉพาะถ้วยที่เป็นพลาสติก  เมื่อใช้นาน ๆ มักจะมีคราบเกาะ  โดยเฉพาะถ้วยชา กาแฟที่ใช้แล้วไม่ล้างทันที  วิธีล้างให้สะอาด  คือล้างด้วยน้ำผสมเบกกิ้งโซดา  จะช่วยให้ล้างออกได้ง่าย  แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง  ถ้วยชา กาแฟก็จะสะอาด

ป้องกันไม่ให้ราขึ้นขอบยางตู้เย็น



เวลาซื้อตู้เย็นมาใหม่  ควรใช้ผ้าชุบน้ำให้เปียกนำมาชุบเบกกิ้งโซดาเช็ดตามขอบยางให้ทั่ว  ปล่อยให้แห้ง  เมื่อใช้นาน ๆ ไป  ขอบยางก็จะไม่ขึ้นรา  แต่ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่าขอบตู้เย็นมีราขึ้น  สามารถขจัดราได้โดยใช้ผ้านุ่มชุบน้ำให้เปียก  แล้วชุบเบกกิ้งโซดาเช็ด

ทำให้อาหารขึ้นฟู




เบกกิ้งโซดาช่วยทำให้อาหารขึ้นฟู  เช่น  การทำเค้ก  คุ๊กกี้  ซึ่งต้องอาศัยเบกกิ้งโซดาขนมจึงจะขึ้น  ขนมบางอย่าง  เช่น  เค้กกล้วยหอม  ถ้าต้องการให้ขึ้นฟูนุ่มจะใช้เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดามีฤทธิ์เป็นด่าง  ส่วนผสมของอาหารจะต้องมีฤทธิ์เป็นกรด  เค้กกล้วยหอมจึงใส่นมเปรี้ยวเป็นส่วนผสม  นมเปรี้ยวมีฤทธิ์เป็นกรด  เมื่อรวมกันทำให้เกิดความเป็นกลาง  จึงไม่เกิดรสเฝื่อน  ถ้าใส่เบกกิ้งโซดามากเกินไป  จะทำให้ขนมนั้นมีรสเฝื่อน  มีรสขมที่ปลายลิ้น


ที่มา :  หนังสือ "ในบ้านในเรือน"  โดย อาจารย์ศรีสมร คงพันธุ์

ภาพประกอบ :  จากอินเทอร์เน็ต

13 มีนาคม 2560

ทึ่ง แพทย์เชียงใหม่-รามใช้ ‘ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’ ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้



วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2558 ที่คลินิคโรคทางสมองและประสาท ห้อง 4 ชั้น 4 โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ หรือ หมอเบิร์ด ประสาทและศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง


“สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา 2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ 3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้”




นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด


“คนไข้รายนี้กลัวการผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย”
นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น


“ผมก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ”


นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผลกี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่คลินิคโรคหลอดเลือดทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก


อาการคือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา


“ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบเช่นกัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อ โดยไม่หวังผลด้านธุรกิจ”


สำนักข่าวเห็ดลม รายงาน

ที่มา & ภาพประกอบ : www.hedlomnews.com

26 กุมภาพันธ์ 2560

สารพิษในร่างกายเกิดขึ้นได้อย่างไร?

 www.healthfoodshop.in.th



"สารพิษ" ในร่างกายแบ่งตามแหล่งกำเนิดได้ 2 ชนิด  ได้แก่  สารพิษจากภายนอก และ สารพิษในร่างกาย

สารพิษจากภายนอกมีหลายชนิด เข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินอาหาร  ระบบหายใจ  การสัมผัส  ฯลฯ  

ในขณะที่สารพิษในร่างกายเป็นของเสียที่เกิดจากระบวนการเผาผลาญอาหาร เช่น โปรตีน เมื่อสลายตัวเกิดกรดยูริกและยูเรีย  กลูโคสสลายตัวเกิดกรดแล็กติก  

หากร่างกายไม่สามารถขจัดออกได้หมดตามช่องทางปกติ  ก็จะเกิดการ "สะสม" สารพิษขึ้น

สารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกายเป็นสาเหตุสำคัญของ โรคหลอดเลือดหัวใจ  

กรดยูริกเป็นของเสียจากการย่อยสลายโปรตีน  

ลิ่มเลือดเป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้น  

คอเลสเตอรอลเลว (LDL Cholesterol)  เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว  

ของเสียในร่างกายจะสะสมอยู่ในกระแสเลือด  ทำให้ เลือดข้น  ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ  หากรุนแรงอาจถึงขั้นทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก

โรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ 10 อันดับแรก  มีมากกว่า 3 โรคที่เกิดจากความผิดปกติของ ระบบไหลเวียนเลือด

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยไต้หวันพบว่า  เซลล์ในร่างกายที่ตายแล้วหาก "คืนชีพ" อาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

เซลล์ตายมีทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว  เซลล์เม็ดเลือดแดง ฯลฯ  ซากของเซลล์เนื้อเยื่อหลังจากต่อสู้กับเชื้อไวร้สก็เป็นเซลล์ตายเช่นกัน  

หากร่างกายไม่สามารถขจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปได้หมด  ก็จะสะสมไว้  นานเข้าก็จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือเกิดอาการแพ้ อักเสบ  

และเซลล์ตายอาจฟื้นขึ้นมาส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย  ในระยะยาวก็จะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือกลายเป็นมะเร็ง


ที่มา : หนังสือ "ดีท็อกซ์ถูกวิธี ชีวิตปลอดสาร"  โดย อาจารย์หวังหมิงหย่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอาหารเกษตรอินทรีย์ 

ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต