อดีตกองหลังทีมชาติไทย “บุญธรรม” หัวใจวาย ขณะซ้อมในสนามฟุตบอล สธ. ญาติโวย โทรเรียก 1669 ผ่านไป 15 นาทีไม่มารับ จนต้องนำส่ง รพ.เอง สุดท้ายเสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบุญธรรม บูรณธรรมานันท์ หรือโก๋ อดีตกองหลังทีมชาติไทย และสโมสรองค์การโทรศัพท์ เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังซ้อมฟุตบอลอยู่ที่สนามกีฬาภายในกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอาคารสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ที่ดูแลระบบสายด่วนการแพทย์ฉุกเฉิน 1669
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งนายบุญธรรมจะมาซ้อมฟุตบอลที่สนามแห่งนี้เป็นประจำ แต่วันเกิดเหตุพบว่า นายบุญธรรมเกิดอาการเหนื่อยและออกมานั่งพักที่ข้างสนามโดยไม่ได้บอกใคร แล้วเกิดอาการวูบหงายหลัง กลุ่มเพื่อนที่เล่นด้วยกันจึงเข้าไปช่วยและขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.) ที่อาคาร สพฉ. และเจ้าหน้าที่ รปภ.ได้วิทยุสื่อสารประสานขอความช่วยเหลือต่ออีกทอดหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าประสานไปยังหน่วยงานใด เพื่อนๆ ของนายบุญธรรม ยังได้โทรศัพท์ไปยังสายด่วนการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สอบถามอาการและจุดเกิดเหตุ แต่เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีรถฉุกเฉินมารับหรือมีเจ้าหน้าที่ประสานกลับมา กลุ่มเพื่อนที่ช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่ จึงตัดสินใจช่วยกันหามนายบุญธรรม ขึ้นรถกระบะนำส่งที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่เข้าถึงตัวผู้ป่วยล่าช้า ทั้งที่ที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข และอยู่ใกล้กับอาคาร สพฉ. ซึ่งอาคารดังกล่าวมีเครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ(เออีดี) แต่กลับไม่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของอาคารให้นำเครื่องดังกล่าวออกมาช่วยเหลือผู้ป่วย ทั้งที่ผ่านมา สพฉ.พยายามผลักดันและขับเคลื่อนการติดตั้งเครื่องเออีดี ในสถานที่สาธารณะมาตลอด
ด้าน นพ.ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองเลขาธิการ สพฉ. เปิดเผยว่า สพฉ.ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบหาข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่าเพื่อนผู้ป่วยวิ่งมาแจ้งที่ สพฉ.ว่า ผู้ป่วยมีอาการชัก ในเวลาประมาณ 17.30 น. จากนั้นเจ้าหน้าที่ศูนย์สั่งการได้แจ้งไปยังศูนย์สั่งการ 1669 จ.นนทบุรี ในทันที ซึ่งศูนย์สั่งการ จ.นนทบุรี แจ้งว่า ได้รับแจ้งเหตุแล้วขณะนี้รถฉุกเฉินอยู่ระหว่างกำลังเดินทาง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของ สพฉ.เอง ก็กำลังเตรียมตัวที่จะออกจากตึกไปให้การช่วยเหลือ แต่เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าหน้าที่ รปภ.ได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลด้วยตนเองแล้ว ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลกับสถาบันบำราศนราดูร พบว่าผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาลในเวลา 17.30 น. ซึ่งเป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่เพื่อนของผู้ป่วยมาแจ้งที่ สพฉ.
นพ.ภูมินทร์ กล่าวว่า สำหรับระบบที่ สพฉ.วางไว้จะมีการบันทึกเวลาชัดเจนในทุกขั้นตอน นับจากการรับแจ้ง ซึ่งในกรณีนี้ ศูนย์สั่งการที่โรงพยาบาลได้รับแจ้งในเวลา 17.23 น. และแจ้งไปยังสถาบันบำราศนราดูร ในเวลา 17.24 น. รถออกจากโรงพยาบาลในเวลา 17.27 น. และรถโรงพยาบาลได้ถึงจุดเกิดเหตุในเวลา 17.30 น. ซึ่งคาดว่าน่าจะสวนทางกับรถของญาติที่นำผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ระยะเวลาที่รถพยาบาลถึงจุดเกิดเหตุถืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทันทีที่ระบบรับทราบเหตุ สามารถทำการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
“ส่วนปัญหาที่ยังไม่ชัดเจนในเวลานี้คือ เวลาที่เกิดเหตุ และเวลาที่โทรแจ้งศูนย์ เป็นเวลาเท่าใดแน่ เพราะเวลาที่ถูกบันทึกในระบบ คือ 17.23 น. หากเพื่อนผู้ป่วยโทรก่อนหน้านั้น คงต้องหาสาเหตุเพิ่มเติมว่า มีความผิดพลาดอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่า สพฉ.จะพยายามสอบข้อเท็จจริงเพื่อพัฒนาระบบต่อไป” นพ.ภูมินทร์ กล่าว
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการ สพฉ. เปิดเผยว่า ปี 2559 ประเทศไทย มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน มากถึง 495 คน และยังพบผู้ป่วยจากภาวะเจ็บแน่นทรวงอกหรือมีปัญหาด้านหัวใจอีกกว่า 12,304 คน จากตัวเลขเหล่านี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้ป่วยฉุกเฉินที่เจ็บป่วยด้วยภาวะหัวใจวายและหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในอัตราที่มาก และน่าเสียดายที่ผู้ป่วยบางส่วนก็เสียชีวิตนอกโรงพยาบาลก่อนที่จะถึงมือแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยที่เสียชีวิตนอกโรงพยาบาลนั้นเทียบเท่ากับการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ
“การแก้ปัญหาภาวะหัวใจวายหรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เราต้องเตรียมคนในประเทศของเราให้พร้อมรับมือกับภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อาทิ พื้นที่สาธารณะที่ผู้คนพลุกพล่านอย่างสนามบิน รถไฟ สถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ที่ออกกำลงกายที่มีคนมาใช้บริการมากๆ หรือสถานที่ที่มีการจัดวิ่งมาราธอน” นพ.อนุชา กล่าว
นพ.อนุชา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ในต่างประเทศนั้นการรับมือกับผู้ป่วยภาวะหัวใจวายหรือหยุดเต้นเฉียบพลันนอกโรงพยาบาลนั้นไม่สามารถจะรอแต่เจ้าหน้าที่กู้ชีพได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจากสถิติของประเทศญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา นั้นพบว่าหากประชาชนสามารถใช้เครื่องเออีดีในการช่วยชีวิตผู้ป่วยสลับกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (ซีพีอาร์) ก่อนที่ทีมแพทย์จะเดินทางเข้าให้ความช่วยเหลือก็จะสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ และจะสามารถช่วยผู้ป่วยให้รอดได้มากถึงร้อยละ 50 ซึ่งจากรอเจ้าหน้าที่กู้ชีพมารับเพียงอย่างเดียวโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยมีเพียงแค่ร้อยละ 27 แต่ถ้าใช้เครื่องเออีดีมาช่วยด้วยโอกาสในการรอดชีวิตจะมากขึ้น
นพ.อนุชา กล่าวต่ออีกว่า ดังนั้นใน 2 ปีที่ผ่านมา สพฉ.จัดทำยุทธศาสตร์ในเรื่องของการดูแลผู้ป่วยที่ภาวะหัวใจวายหรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันอยู่ 4 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ปัญหาและเห็นความสำคัญของการเตรียมตัว โดยได้จัดงานใหญ่ในวันวาเลนไทน์เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่หัวลำโพง และจัดกิจกรรมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งต้องการให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการใช้งานเครื่องเออีดี
2.ได้สร้างการกระจายตลาดของเครื่องเออีดี เพื่อให้เครื่องเออีดี มีราคาที่ถูกลงและให้หาซื้อได้ง่ายซึ่งเดิมในประเทศไทยมีอยู่ 2-3 บริษัทเท่านั้นที่นำเครื่อง เออีดีมาจำหน่าย ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนขึ้น หากบริษัทใหญ่ๆ ที่จำหน่ายเครื่องเออีดีนำเข้ามาจำหน่ายที่ประเทศไทย ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันและทำให้ราคาของเครื่องเออีดีถูกลงด้วย ซึ่งบริษัทต่างๆ เหล่านี้ก็จะมีการมอบเครื่องไปในที่ต่างๆ และจะทำให้เกิดการกระจายเครื่องเออีดี ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยด้วย
3.ได้ฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนสามารถใช้งานเครื่องเออีดีเป็น และยังได้จัดทำคู่มือมีแนวทางที่จะทำให้ประชาชนเรียนรู้เรื่องห่วงโซ่การรอดชีวิต โดยเมื่อประชาชนเจอเหตุการณ์ให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 และเข้าประเมินอาการของผู้ป่วยว่าหายใจหรือไม่อย่างไร หากพบผู้ป่วยไม่หายใจก็ให้ทำการปั๊มหัวใจ สลับกับการนำเครื่องเออีดีเข้ามาทำการช่วยเหลือ และรอเจ้าหน้าที่กู้ชีพมารับเพื่อนำไปส่งต่อยังโรงพยาบาล และเข้าสู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาต่อไป ซึ่งในช่วง 4-5 เดือนที่รณรงค์ได้มีการมอบเครื่องเออีดี ให้แก่สถานีขนส่งหมอชิต และอีกหลายๆ ที่ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ผู้จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งหมอชิตสามารถมาช่วยปั๊มหัวใจและใช้งานเครื่องเออีดี ช่วยให้ผู้ป่วยอายุ 60 รอดชีวิตได้
4.เพื่อให้หลักสูตรนี้เกิดความยั่งยืนโดยได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการนำหลักสูตรการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการใช้งานเครื่องเออีดีบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อให้เด็กๆ นักเรียน นักศึกษาสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นและใช้งานเครื่องเออีดีได้ และยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับเซเว่นอีเลฟเว่น โดยบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องซีพีอาร์ และการใช้งานเออีดีลงในโรงเรียนของเซเว่นอีเลฟเว่นด้วย ในส่วนการดำเนินการในด้านของนโยบายนั้นได้ประสานร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่างระเบียบให้อาคารที่มีคนอยู่อาศัยและเข้าออกในจำนวนที่มากนั้นต้องทำการติดตั้งเครื่องเออีดี ด้วย และในส่วนของงานวิชาการนั้นเวลาที่มีการประชุมหรือจัดงานวิชาการต่างๆ จะสอดแทรกเรื่องความสำคัญของการใช้งานเครื่องเออีดี เข้าไปด้วย
“ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ได้ช่วยกันดำเนินการรณรงค์ สร้างความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจและมีการติดตั้งเออีดีในสถานที่สำคัญที่มีคนอยู่อาศัยและใช้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพอาดัง เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ศูนย์ประสานงานกู้ภัยอุทยานแห่งชาติที่ 2 กาญจนบุรี เรือหลวงจักรีนฤเบศร สถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ สถานีรถไฟ จ.เชียงใหม่ สนามบิน จ.สุราษฏร์ธานี สถานที่ออกกำลังกายสวนลุมพินี ทำเนียบรัฐบาล สถานีขนส่งผู้โดยสายใต้ใหม่ ศูนย์ฝึกอบรมปฐมพยาบาล สภากาชาดไทย สถานีรถไฟหัวลำโพง ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ สถานีขนส่งผู้โดยสารเอกมัย ศาลาว่าการกทม. กระทรวงศึกษาธิการ รัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้คนไทยช่วยกันปั๊มหัวใจพร้อมกับการใช้งานเครื่องเออีดี สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันรอดมาแล้วมากว่า 20 ราย เป้าหมายต่อไปคือจะรณรงค์ให้มีการติดตั้งเครื่องเออีดีทั่วประเทศไทยเพื่อช่วยให้หัวใจของคนไทยแข็งแรงและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตจากภาวะหัวใจวายและหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันให้กับคนไทยได้” เลขาธิการ สพฉ.กล่าว
ที่มา & ภาพประกอบ : www.komchadluek.net
ที่มา & ภาพประกอบ : www.komchadluek.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น